แชร์

การปลูกกัญชาในระบบไร้ดินด้วย Cocopeat: เทคนิคการให้น้ำและสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง

อัพเดทล่าสุด: 11 พ.ค. 2025
190 ผู้เข้าชม

ระบบปลูกไร้ดินด้วย cocopeat (ขุยมะพร้าว) กำลังเป็นที่นิยมในหมู่เกษตรกรผู้ปลูกกัญชา เพราะ cocopeat เป็นวัสดุปลูกจากใยมะพร้าวที่มีความสามารถในการเก็บความชื้นและระบายอากาศดี ช่วยให้รากกัญชาไม่แฉะหรือน้ำขังเกินไป อีกทั้งยังปราศจากเชื้อโรคและวัชพืชจากดิน ทำให้ปลูกได้อย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากโรคพืชต่าง ๆ เมื่อใช้งานร่วมกับสารอาหารไฮโดรโปนิกส์ที่เหมาะสม cocopeat สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของต้นกัญชาได้อย่างมาก โดยบทความนี้จะกล่าวถึง (1) เทคนิคการให้น้ำที่เหมาะสมในระบบ cocopeat เพื่อเพิ่มผลผลิตกัญชา และ (2) การเลือกสายพันธุ์กัญชาที่เหมาะกับการปลูกใน cocopeat ที่ให้ผลผลิตสูงในต้นทุนต่ำ เน้นความปลอดภัยและคุ้มค่าในการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกกัญชา โดยอ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยและแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้ เช่น วารสารวิชาการและหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ


เทคนิคการให้น้ำที่เหมาะสมในระบบ Cocopeat เพื่อเพิ่มผลผลิต


การให้น้ำและสารละลายธาตุอาหาร (fertigation) อย่างถูกวิธีเป็นหัวใจสำคัญในการปลูกกัญชาด้วยวัสดุ cocopeat เนื่องจาก ความถี่และปริมาณการให้น้ำส่งผลโดยตรงต่อการเจริญของรากและผลผลิต ดังนั้นเกษตรกรควรปรับการให้น้ำให้เหมาะสม ดังนี้:

  • ให้น้ำแต่ละครั้งจนมีน้ำไหลออกก้นภาชนะ (Runoff) ประมาณ 10-20%: การให้น้ำจนมีน้ำส่วนเกินไหลออกมาประมาณหนึ่งส่วนจากสิบของปริมาณที่ให้ จะช่วยชะล้างเกลือสะสมในวัสดุปลูกและปรับสมดุลธาตุอาหารในเขตราก วิธีนี้ทำให้รากกัญชาได้รับธาตุอาหารที่สมดุลทุกครั้ง ลดความเสี่ยงการสะสมของปุ๋ยที่อาจทำให้ค่า pH เปลี่ยนและรากดูดธาตุอาหารได้น้อยลง
  • รักษาความชื้นใน cocopeat ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม: หลังรดน้ำจนวัสดุชุ่มเต็มที่ cocopeat จะมีความชื้นประมาณ 65% ของปริมาตร (น้ำจะเต็มช่องว่างในวัสดุประมาณสองในสาม) จากนั้นน้ำส่วนเกินจะระบายออกและวัสดุจะคงความชื้นไว้ที่ระดับความจุสนาม (Field capacity) ราว 35-40% ภายใน ~24 ชั่วโมง ก่อนรดน้ำครั้งถัดไปควรปล่อยให้ cocopeat แห้งลงมาประมาณครึ่งหนึ่ง (เหลือความชื้นราว 30% หรือเมื่อยกดูน้ำหนักเหลือประมาณครึ่งหนึ่งของตอนชุ่ม) การปล่อยให้เขตรากได้ หายใจ ช่วงสั้น ๆ นี้จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าไปในวัสดุปลูก ส่งเสริมการเจริญของรากและจุลินทรีย์ดีในระบบราก ทั้งนี้ไม่ควรปล่อยให้แห้งเกินจุดนี้เพราะรากกัญชาจะเริ่มเหี่ยวเฉาเนื่องจากความชื้นไม่พอ
  • ความถี่ในการให้น้ำ: โดยทั่วไป ควรให้น้ำอย่างน้อยวันละครั้ง สำหรับการปลูกใน cocopeat และอาจเพิ่มเป็นวันละ 2-3 ครั้งในช่วงที่ต้นโตและใช้น้ำมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำถี่เกินไปจนวัสดุแฉะตลอดเวลา เนื่องจากอาจทำให้รากขาดออกซิเจน กัญชาในระบบ cocopeat มักตอบสนองดีต่อการให้น้ำแบบ เปียกสลับแห้ง (wet-dry cycle) ที่มีการปล่อยให้วัสดุแห้งลงบ้างเล็กน้อยก่อนให้น้ำใหม่ นักวิจัยของ Hawthorne Gardening ได้ทดลองเปรียบเทียบการให้น้ำแบบ วันละครั้งปริมาณมาก (เช้าให้เต็มที่แล้วปล่อยแห้งตลอดวัน) กับแบบ แบ่งให้หลายครั้งปริมาณน้อยตลอดวัน ในการปลูกกัญชา พบว่าการให้น้ำวันละครั้งแบบชุ่มเต็มที่แล้วปล่อยให้วัสดุแห้งย้อนกลับให้ผลผลิตดอกกัญชามากกว่าชัดเจน ทั้งน้ำหนักดอกรวมและจำนวนดอกขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับการให้น้ำถี่หลายครั้ง (6-16 ครั้ง/วัน) ที่คอยรักษาวัสดุให้ชื้นตลอดเวลา การให้น้ำถี่เกินไปใน cocopeat ทำให้เกิดความแปรปรวนของผลผลิตมากขึ้นและอาจลดการสร้างดอกลงด้วย สันนิษฐานว่าวิธีให้น้ำวันละครั้งช่วยเพิ่มอากาศในเขตรากและกระตุ้นรากให้หาอาหารได้ดีกว่า ในขณะที่ cocopeat ยังรักษาความชื้นได้พอเพียงตลอดวัน
  • ใช้ระบบให้น้ำอัตโนมัติและเซ็นเซอร์ความชื้น: การติดตั้งระบบน้ำหยด (drip irrigation) ร่วมกับการตั้งเวลาหรือเซ็นเซอร์วัดความชื้นจะช่วยให้การให้น้ำแม่นยำและสม่ำเสมอมากขึ้น ระบบเซ็นเซอร์สามารถวัดระดับความชื้นในเขตรากแบบเรียลไทม์และสั่งเปิดปิดการให้น้ำเมื่อความชื้นลดถึงระดับที่กำหนดไว้ ส่งผลให้ต้นกัญชาได้รับน้ำทันเวลาไม่ขาดไม่เกิน วิธีนี้ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำ/ปุ๋ยโดยไม่จำเป็น และรักษาความชุ่มชื้นไว้ในช่วงที่เหมาะสมตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ควรมีการตรวจสอบน้ำที่ไหลออก (runoff) เป็นระยะ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการสะสมของเกลือหรือปุ๋ยสูงเกินไปในวัสดุปลูก (ค่า EC ของน้ำที่ไหลออกไม่ควรสูงกว่าน้ำที่ให้มากเกินไป) หากพบค่า EC สูงควรเพิ่มปริมาณน้ำหรือความถี่การให้น้ำให้มี runoff มากขึ้นในครั้งถัดไป ทั้งนี้หลักการ ให้น้ำจนมีน้ำออก 10-20% ทุกครั้ง นั้นเป็นแนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำสำหรับการปลูกในขุยมะพร้าวเพื่อป้องกันการสะสมเกลือ ซึ่งสอดคล้องกับข้อแนะนำข้างต้น

โดยสรุป การให้น้ำในระบบ cocopeat ควรเน้นที่ การให้น้ำสม่ำเสมอแต่ไม่มากเกินไป รักษาดุลยภาพน้ำกับอากาศในเขตรากให้ดีอยู่เสมอ การใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติจะช่วยให้ควบคุมได้แม่นยำและลดภาระแรงงาน เมื่อจัดการน้ำได้เหมาะสม ต้นกัญชาจะสามารถดูดใช้ธาตุอาหารได้เต็มที่ ส่งผลให้โตเร็ว แข็งแรง และให้ผลผลิตดอกสูงสุดในแต่ละรอบการปลูก


การคัดเลือกสายพันธุ์กัญชาที่เหมาะสมกับการปลูกใน Cocopeat ให้ได้ผลผลิตสูง


สายพันธุ์กัญชา (Cannabis strains) ที่นำมาปลูกมีผลอย่างมากต่อผลผลิต คุณภาพ และความคุ้มทุนในการปลูกระบบไร้ดิน การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม สามารถช่วยให้ได้ผลผลิตดอกกัญชาต่อรอบที่สูงขึ้น ลดความสูญเสียจากโรคและแมลง และเก็บเกี่ยวได้เร็วเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่อรอบการผลิต ในการปลูกด้วย cocopeat นั้น ควรพิจารณาคุณลักษณะสายพันธุ์ดังต่อไปนี้:

  • ต้านทานโรคและแมลง: สายพันธุ์ที่มีความต้านทานต่อโรคสำคัญของกัญชา เช่น โรคราแป้ง (Powdery mildew) และโรคโคนเน่า/รากเน่า (จากเชื้อราในดิน) จะช่วยลดความเสี่ยงการระบาดของโรคในโรงเรือน ทำให้ไม่ต้องใช้สารเคมีป้องกันมาก (ซึ่งเป็นต้นทุนและอาจไม่ปลอดภัย) งานวิจัยระบุว่า โรคราแป้งสามารถลดผลผลิตและการสังเคราะห์แสงของกัญชาได้มาก โดยเชื้อราจะทำลายใบและขัดขวางการรับแสงจนต้นโทรมก่อนเวลาอันควร ดังนั้นการพัฒนาหรือเลือกใช้สายพันธุ์ที่มีความต้านทานต่อราแป้งจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคนี้ในพืชกัญชาและพืชอื่น ๆ ปัจจุบันมีรายงานว่ากัญชาบางสายพันธุ์ เช่น Gelato #33 แสดงความทนทานตามธรรมชาติต่อเชื้อไวรัส Hop Latent Viroid (HLVd) ที่ทำให้ต้นกัญชาแคระแกร็นและผลผลิตต่ำ แม้กลไกการต้านทานยังอยู่ระหว่างการวิจัยก็ตาม การเลือกสายพันธุ์ที่มีประวัติทนทานต่อโรคต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการปลูกและลดความสูญเสียได้มาก

 

  • จริญเติบโตเร็วและให้ผลผลิตสูง: สายพันธุ์กัญชาแต่ละชนิดมีอัตราการเติบโตและระยะเวลาออกดอกแตกต่างกัน สายพันธุ์กัญชาอินดิกา (Indica) และสายพันธุ์ลูกผสมที่มีลักษณะอินดิกามักจะเติบโตเป็นพุ่มเตี้ย แข็งแรง และใช้เวลาช่วงออกดอกสั้นกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ซาติว่า (Sativa) ทำให้เก็บเกี่ยวได้เร็วกว่า โดยทั่วไปอินดิกาจะมีระยะออกดอกประมาณ 8-10 สัปดาห์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ปลูกที่ต้องการรอบการผลิตสั้น  ในขณะที่สายพันธุ์ซาติว่ามักต้องการเวลาออกดอกนานกว่า อาจถึง 10-16 สัปดาห์ และมีลำต้นสูงใหญ่กว่า ทำให้จัดการยากกว่าในพื้นที่จำกัด ดังนั้นสำหรับการปลูกในโรงเรือนหรือระบบ indoor ที่ใช้ cocopeat ควรเลือกสายพันธุ์อินดิกาหรือสายพันธุ์ผสมที่ออกดอกไว เพื่อหมุนรอบการผลิตได้เร็ว ลดค่าไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายต่อรอบ นอกจากนี้สายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดอกต่อต้นสูง (high yielding) ก็จะช่วยเพิ่มผลผลิตรวมต่อพื้นที่ปลูกได้ ควรพิจารณาจากข้อมูลผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์หรืองานวิจัยที่รายงานปริมาณผลผลิต (กรัมต่อต้นหรือกรัมต่อตารางเมตร) ภายใต้การปลูกมาตรฐาน สายพันธุ์ที่ตอบสนองต่อปุ๋ยและสภาพแวดล้อมได้ดีก็มีแนวโน้มให้ผลผลิตสูงเมื่อปลูกในระบบ cocopeat ที่ควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ได้เหมาะสม

 

  • เหมาะสมกับการปลูกในระบบ cocopeat: ไม่ใช่สายพันธุ์กัญชาทุกชนิดจะปรับตัวเข้ากับการปลูกไร้ดินได้ดีเท่ากัน บางสายพันธุ์อาจไวต่อความผันผวนของปุ๋ยหรือน้ำมาก ในขณะที่หลายสายพันธุ์นิยมปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์/ไร้ดินได้ผลดีมานานแล้ว ควรเลือกสายพันธุ์ที่มีรากแข็งแรง สามารถเติบโตได้ดีในวัสดุปลูกที่ไม่มีธาตุอาหารในตัวเองอย่าง cocopeat และตอบสนองดีต่อการให้อาหารทางน้ำ สายพันธุ์ลูกผสมสมัยใหม่ส่วนใหญ่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์มาให้เลี้ยงง่าย สามารถปลูกในวัสดุ inert อย่างขุยมะพร้าวหรือร็อกวูลได้อยู่แล้ว แต่ก็ควรศึกษารีวิวหรือคำแนะนำจากผู้ปลูกรายอื่นๆ ประกอบด้วย

 

ตัวอย่างสายพันธุ์กัญชาที่แนะนำสำหรับการปลูกในระบบ cocopeat โดยพิจารณาจากความทนทาน โตเร็ว และให้ผลผลิตสูง มีดังนี้:


Northern Lights: สายพันธุ์อินดิกาโด่งดังที่ได้รับการยอมรับว่า ปลูกง่ายและให้ผลผลิตสูง เหมาะสำหรับมือใหม่และมืออาชีพ Northern Lights มีความทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืชหลายชนิด โดยเฉพาะต้านทานต่อโรคราและเชื้อราต่าง ๆ เช่น โรคราแป้งและราโคนเน่าได้ดี ทำให้ปัญหาเรื่องเชื้อราลดลงอย่างมากในระบบโรงเรือน อีกทั้งยังมีช่วงออกดอกสั้นเพียงประมาณ 7-9 สัปดาห์ เร็วกว่าสายพันธุ์ทั่วไป ทำให้เก็บเกี่ยวได้ไว ลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาระหว่างปลูกน้อยลงด้วย Northern Lights เติบโตเป็นทรงพุ่มเตี้ยกะทัดรัด เหมาะกับการปลูกในเต็นท์หรือโรงเรือนพื้นที่จำกัด และด้วย พันธุกรรมที่มีความนิ่ง (stable genetics) ทำให้ต้นที่ปลูกจากเมล็ดมีลักษณะสม่ำเสมอ ใกล้เคียงกันทุกต้น ง่ายต่อการจัดการดูแล นอกจากนี้ Northern Lights ยังให้ผลผลิตดอกค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ที่ปลูกง่ายสายพันธุ์อื่น ๆ จึงถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่ให้ทั้งความเสถียรและปริมาณผลผลิตที่น่าพอใจในระบบไร้ดิน


Blue Dream: สายพันธุ์ลูกผสมชื่อดัง (SATIVA บางส่วน) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงและให้ผลผลิตดี Blue Dream มีคุณสมบัติเด่นคือ ทนทานต่อโรคและแมลงตามธรรมชาติ เช่น ต้านทานต่อโรคราแป้งและไรแมงมุม (spider mites) ได้สูง จึงลดความจำเป็นในการใช้ยาป้องกันกำจัดศัตรูพืชลงได้ สายพันธุ์นี้ยังปรับตัวเก่งและปลูกได้ในสภาพแวดล้อมหลากหลายรูปแบบ โดยสามารถเติบโตได้ดีในวัสดุปลูกหลายชนิดรวมถึง cocopeat อีกทั้งทนต่อความแปรปรวนของอุณหภูมิและความชื้นได้ดีกว่าสายพันธุ์อื่นๆ Blue Dream โตเร็ว แตกกิ่งก้านแข็งแรง มีระบบรากที่หนักแน่น สามารถดูดธาตุอาหารได้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ให้ผลผลิตดอกปริมาณมาก แม้การดูแลไม่ยุ่งยากนัก ผู้ปลูกมักได้รับผลตอบแทนเป็นดอกขนาดใหญ่จำนวนมากโดยใช้การดูแลตามมาตรฐานทั่วไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ Blue Dream จึงเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่เหมาะสำหรับปลูกในระบบ cocopeat เพื่อผลผลิตสูง ในขณะที่ยังรักษาความเสี่ยงเรื่องโรคและแมลงให้น้อย

ทั้งนี้ สายพันธุ์ที่เลือกควรมาจากผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์หรือแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ได้พันธุกรรมตรงตามคุณสมบัติที่โฆษณาไว้ ควรตรวจสอบข้อมูลสายพันธุ์ เช่น สัดส่วนอินดิกา/ซาติว่า ระยะเวลาออกดอก ค่าศักยภาพผลผลิต (g/m²) และความยากง่ายในการปลูก จากหลายๆ แหล่งประกอบกัน นอกจาก Northern Lights และ Blue Dream แล้ว ยังมีสายพันธุ์อื่นที่น่าสนใจสำหรับระบบไร้ดิน เช่น White Widow, AK-47, Critical Mass, Super Skunk เป็นต้น ซึ่งต่างมีชื่อเสียงในด้านผลผลิตและความเสถียรในการเจริญเติบโต (ตัวอย่างเช่น White Widow เป็นสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดีและตอบสนองต่อสภาพแสงได้แตกต่างจากสายพันธุ์อื่นอย่างมีนัยสำคัญตามงานวิจัยเมตาอะนาไลซิสหนึ่ง) สุดท้ายการทดลองปลูกและสังเกตด้วยตนเองก็มีความสำคัญ เพราะสายพันธุ์ที่ให้ผลดีในฟาร์มหนึ่งอาจได้ผลต่างออกไปในอีกฟาร์ม การเก็บข้อมูลและปรับปรุงกระบวนการปลูกอยู่เสมอจะช่วยให้เกษตรกรค้นพบสายพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดกับสภาพแวดล้อมและความต้องการของตนเอง


สรุป


การปลูกกัญชาโดยใช้ระบบปลูกไร้ดินด้วยวัสดุขุยมะพร้าว (cocopeat) สามารถให้ผลผลิตสูงและมีประสิทธิภาพ หากผู้ปลูกจัดการด้านการให้น้ำและการเลือกสายพันธุ์ได้อย่างเหมาะสม เทคนิคการให้น้ำ ควรมุ่งเน้นที่การรักษาความชื้นและธาตุอาหารให้สม่ำเสมอ มีการให้น้ำจนมี runoff เล็กน้อยทุกครั้งและปล่อยให้วัสดุปลูกได้หายใจบ้างเพื่อป้องกันรากขาดออกซิเจน การใช้ระบบน้ำหยดอัตโนมัติและเซ็นเซอร์ช่วยเพิ่มความแม่นยำ ลดการใช้น้ำปุ๋ยเกินจำเป็น และช่วยให้ต้นกัญชาเจริญเติบโตเต็มที่ ส่วนสายพันธุ์กัญชา ก็ควรคัดเลือกพันธุ์ที่ทนทานต่อโรค โตเร็ว ออกดอกไว และให้ผลผลิตดกในสภาพการปลูกแบบควบคุม สายพันธุ์อินดิกาหรือไฮบริดที่มีความนิ่งและปลูกง่ายมักจะเป็นตัวเลือกที่ดี เช่น Northern Lights หรือ Blue Dream ที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งมีคุณสมบัติครบทั้งความแข็งแรงและผลผลิตสูง การลงทุนเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมและการจัดการการให้น้ำที่ดีจะทำให้เกษตรกรสามารถผลิตกัญชาได้อย่าง ปลอดภัย ต้นทุนต่ำ และได้ผลตอบแทนคุ้มค่า เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจกัญชาเชิงการค้าได้เป็นอย่างดี


บทความที่เกี่ยวข้อง
ระบบ Co2 สำหรับปลูกกัญชา ติดตั้งถังห่างจากห้องปลูก สะดวกในการเปลี่ยนถัง
การออกแบบระบบ Co2 สำหรับก้องปลูกกัญชาขนาด ไม่เกิน 100 ตารางเมตรให้ใช้งานสะดวก สามารถวางถัง Co2 ห่างจากห้องปลูกได้หลายสิบเมตร สะดวกในการเปลี่ยนถัง Co2
12 พ.ค. 2025
ปุ๋ยและธาตุอาหารเบื้องต้นสำหรับการปลูกกัญชา
ความสำคัญของปุ๋ยและธาตุอาหารในการปลูกกัญชา กัญชาเป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารหลากหลายเพื่อการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ การให้ปุ๋ยที่เหมาะสมในแต่ละระยะของการเติบโตจะช่วยให้พืชมีสุขภาพดีและให้ผลผลิตสูง ธาตุอาหารหลักที่จำเป็น ไนโตรเจน (N): สำคัญต่อการเจริญเติบโตของใบและลำต้น ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนและคลอโรฟิลล์  ฟอสฟอรัส (P): ช่วยในการพัฒนารากและการออกดอก มีบทบาทในการถ่ายโอนพลังงานภายในพืช  โพแทสเซียม (K): เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับพืช ช่วยในการควบคุมการเปิด-ปิดของปากใบ และเพิ่มความต้านทานต่อโรค
27 ก.พ. 2024
การปลูกกัญชาด้วยระบบต่าง ๆ
การปลูกกัญชาให้ได้ผลผลิตดีสามารถปลูกได้หลากหหลายวิธี ขทความนี้บอกถึงข้อดีข้อเสียของการปลูกกัญชาด้วยระบบต่าง ๆ รวมถึงการให้ปุ๋ยและชนิดของปุ๋ยที่ใช้ ของแต่ละวิธีการปลูก การปลูกพืชกัญชาให้ได้ผลดีต้องเข้าใจพื้นธานการเจริญเติบโตและความต้องการปุ๋ย
27 ก.พ. 2024
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy